กระแส BITCOIN ทำไมถึงมาแรง

BITCOIN

BITCOIN คืออะไร

BITCOIN บิทคอยน์ คือ หน่วยข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ชนิดหนึ่ง ที่เกิดขึ้นจากกลไกทางคอมพิวเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดย มร.Satoshi Nakamoto  เงิน BITCOIN จัดว่าอยู่ในกลุ่มที่เรียกกันว่า เงินดิจิตอล (Digital money) ซึ่ง บิทคอยน์ถูกนํามาใช้ครั้งแรกในปี 2552 โดยคนกลุ่มหนึ่งเพื่อการใช้จ่ายหรือโอนและแลกเปลี่ยนกันเฉพาะในโลกออนไลน์ แต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้จะมีการใช้คําว่า “เงิน” แต่บิทคอยน์นี้ไม่สามารถนำเงินมาใช้จ่ายหนี้ได้ตามกฎหมายและไม่มีมูลค่าในตัวเอง ซึ่งมูลค่าที่เกิดขึ้นของ Bitcoin นั้นเกิดขึ้นมาจากความต้องการของกลุ่มคนที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันเอง จึงทำให้มูลค่าของบิทคอยน์มีความผันผวนสูงมากและอาจกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าได้เมื่อไม่มีความต้องการแล้ว ตัวอย่างเช่น ร้านค้าที่รับชําระด้วยเงินดิจิตอล หากมีความจําเป็นต้องการใช้เงิน ก็ต้อง superslot นําเงินดิจิตอลนี้ไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราสกุลต่าง ๆ เสียก่อน และอัตราที่แลกเปลี่ยนก็ไม่มีความแน่นอน มูลค่าที่ได้รับอาจจะมากกว่า น้อยกว่า หรือไม่มีมูลค่าเลยเมื่อเทียบกับราคาสินค้าที่ขายไป ดังนั้นเงินดิจิตอลจึงเป็นเพียงแค่หน่วยอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น

อะไรที่ทำให้กระแสบิทคอยน์มาแรง

หนึ่งในกระแสที่ทุกคนให้ความสนใจอยู่ทุกวันนี้คือ “บิตคอยน์” เงินดิจิทัลตัวแรกของโลกที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีอย่างบล็อกเชน โดยในช่วงที่ผ่านมามีราคาพุ่งทะยานแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทะลุ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ ฯ หรือประมาณเกือบ 1,600,000 บาทไปแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

การเพิ่มขึ้นของราคาบิตคอยน์ในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจาก ปรากฎการณ์ “บิตคอยน์ฮาฟวิ่ง (Bitcoin Halving)” ที่เป็นกลไกของระบบบิตคอยน์เองที่เกิดขึ้นทุก ๆ 4 ปี เป็นลักษณะของการจำกัดความต้องการบิตคอยน์ ที่ผลิตเข้ามาใหม่ให้ลดลงครึ่งหนึ่ง มีนักการเงินและผู้เชี่ยวชาญหลายรายได้อธิบายว่า การทะยานขึ้นของราคาบิตคอยน์ในครั้งนี้เกิดจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งเหรียญบิทคอยน์จะผลิตครบทั้งหมดและจำกัดเอาไว้ที่ 21 ล้านบิตคอยน์ภายในปี 2683 โดยอันที่จริง การฮาฟวิ่งดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคมปีที่แล้ว ซึ่งราคาบิทคอยน์ไม่ได้ปรับสูงขึ้นในทันที แต่เริ่มปรับเพิ่มต่อเนื่องและเห็นได้ชัดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมานอกจากนี้ ความนิยมที่เพิ่มขึ้นจากการใช้งานของบริษัทระดับโลกต่าง ๆ ยังส่งผลให้ราคาบิตคอยน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย ยกตัวอย่างเช่น Visa ที่วางแผนจะออกบัตรเครดิตกับบิตคอยน์โดยตรง หรือ PayPal ที่อนุญาตให้ลูกค้าซื้อขายบิตคอยน์ผ่านกระเป๋าเงินของตนเองได้ อย่างไรก็ตาม ราคาบิตคอยน์ที่เพิ่มขึ้นมาจากอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ การเข้ามาลงทุนในเชิงเทคนิคของนักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยทั่วโลกที่โหมกระหน่ำไล่ราคาขึ้นไปสูงมาก หรือก็คือ “การเก็งกำไร” จนมีนักวิชาการและนักการเงินหลายท่านออกโรงเตือนภัยความเสี่ยงสำหรับการเข้าลงทุน รวมทั้งให้คำนิยามบิตคอยน์ว่า เป็น “ฟองสบู่ตัวแม่ (The Mother of All Bubbles)”  หลังจากที่ Bitcoin ขึ้นมาทำราคาที่สูงกว่า 50,000 ดอลลาร์ และกลายเป็นฐานใหม่ของราคา Bitcoin ได้สร้างฐานใหม่ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ในอีกด้านกระแสของภาคเอกชนก็มีส่วนที่มาจากการที่ PayPal เปิดซื้อขายบิทคอยน์ทำให้ Bitcoin กลายเป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไปมากขึ้น และยิ่งไปกว่านั้น คือการเปิดรับ Bitcoin ของเว็บ Pornhub เนื่องจากเว็บระงับปิดกั้นการชำระเงินของ Visa ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่กลับเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้จัก Bitcoin มากขึ้น ส่วนสำคัญที่สุดที่ทำให้ฐานของ Bitcoin เข้มแข็งขึ้น คือการเข้าซื้อ Bitcoin ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกาหลายๆ แห่ง ไม่ว่าจะเป็น Grayscale หรือ MicroStrategy เป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงการเข้ามาของสถาบันต่าง ๆ ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นคือ ผู้มีอิทธิพลหรือองค์กรจำนวนหนึ่งที่อาจเคยมีความเห็นเชิงลบกับ Bitcoin แต่ในปัจจุบันกลับให้ความเห็นในทางตรงกันข้ามอย่างเห็นได้ชัดเจน ราคา Bitcoin มีแนวโน้มที่จะผันผวนได้ แต่ฐานราคาบิทคอยน์ที่มีมูลค่าถึง 50,000 ดอลลาร์ นั้นถือว่าเป็นฐานที่แข็งแกร่งมากที่ยากจะถูกทำลายลงได้  

การเติบโตของ DeFi

ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนเริ่มหันมาสนใจเงินดิจิทัลมากขึ้น เนื่องจากการล่มสลายของตลาด ICO ที่อยู่ในภาวะตกต่ำ  แต่สิ่งที่จะเข้ามาแทนที่ได้ก็คือโครงการ DeFi โครงการเหล่านี้จะมีการสร้าง Governance Token ออกมาไม่ต่างกับ ICO แต่สิ่งที่มีดีกว่าอย่างเห็นได้ชัดก็คือ โครงการ DeFi นั้นจะมีการใช้งานจริง ๆ และมีเงิน Lock Up อยู่มากถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าโครงการ DeFi จะยังมีอายุไม่นานและมูลค่าการลงทุนยังน้อย แต่แนวคิดและวิธีการของโครงการ DeFi ถือได้ว่าเป็นอะไรที่ใหม่และฉีกกฎเกณฑ์ข้อบังคับทั้งหมดที่ถูกเขียนไว้ในระบบการเงินแบบเดิม ๆ เช่น การสร้าง Synthetic Asset ที่เป็นสินทรัพย์จำลองสินทรัพย์ชนิดอื่น ๆ ขึ้นมาอย่างเช่น หุ้น โดยไม่ต้องไปขออนุญาตหน่วยงานกำกับใด ๆ แต่ในปัจจุบันหนึ่งในสิ่งที่ยังเป็นสิ่งที่ทำให้ DeFi ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ก็คือความล่าช้าของสกุลเงิน Bitcoin ที่สามารถทำธุรกรรมได้เพียง 15 ธุรกรรมต่อวินาที ซึ่งปัญหานี้อาจจะหมดไปเมื่อ หาก Bitcoin ได้มีการปรับปรุงและเปิดใช้งานได้เต็มรูปแบบ แต่ก็เป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ แต่ถึงอย่างไรหากการเปิดใช้งานเมื่อไร ก็จะเห็นเม็ดเงินที่มหาศาลกว่านี้ไหลลงไปยังโครงการ DeFi แน่นอน และเงินดิจิทัลต่าง ๆ ก็จะได้รับผลประโยชน์ไปด้วย

BITCOIN

การแข่งขันของ Stable Coin

STABLE COIN คืออะไร

Stable Coin คือ เงินดิจิทัลประเภทหนึ่งที่จะคงราคาไว้อย่างคงที่ตลอดเวลา ซึ่งจะตรงกันข้ามกับ Cryptocurrency ที่ปกติจะมีความผันผวนตลอดเวลา

ปัจจุบัน Stable Coin อันดับ 1 อย่าง Tether ต้องเจอกับปัญหามากขึ้น เนื่องจากการตรวจสอบจากรัฐบาล หรือข้อหาด้านการตรวจสอบบัญชี เป็นเหตุผลที่ทำให้ Stable Coin อื่น ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาในภายหลัง จึงมีพื้นที่ให้เติบโตจากความไม่ไว้ใจในของ Tether นอกจากนี้มูลค่ารวมของ Stable Coin ทั้งหมด มีมูลค่าประมาณ 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นเพียงไม่ถึง 5% ของมูลค่าตลาดเงินดิจิทัล ในขณะที่ปริมาณการซื้อขายสูงถึง 40% ของปริมาณการซื้อขายรวมในแต่ละวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่เราอาจเห็นได้ชัดว่า ตลาดนี้มีการแข่งขันที่มากขึ้นเรื่อย ๆ และแน่นอนว่าการแข่งขันนั้นดีต่อผู้บริโภคเสมอ Stable Coin เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กระแส Bitcoin มาแรงในปีมากในปี 2563 – 2564

CBDC กับการเติบโตของตลาด

ในส่วนของ CBDC เป็นสิ่งที่น่าจับตามองว่า มูลค่าของมันจะเข้ามาสู่โลก Cryptocurrency หรือเปล่า เพราะโครงการทั้งหลายอยู่ในระหว่างทดลองใช้งานที่อาจจะใช้เวลาเป็นปี โครงการที่ดูเหมือนว่าจะไปได้เร็วที่สุดก็คือ Digital Yuan ของจีน ที่เพิ่งมีการทดสอบให้ประชาชนได้ลองใช้งานจริงซึ่งจนกว่า CBDC จะเปิดใช้งานอย่างเต็มตัว อาจจะมีผลต่อตลาด Cryptocurrency ไม่มากเท่าไรนัก เพราะในช่วงต้นรัฐบาลจะผลักดันให้เกิดการใช้งานในภาคเศรษฐกิจทั่วไปก่อน จนกว่าภาคประชาชนจะเข้าใจรูปแบบของเงินดิจิทัลในลักษณะต่างๆ และเริ่มหันมาสนใจใน Cryptocurrency ก็อาจใช้เวลานานกว่าที่คิด

Security Token กับการปรับตัวของภาครัฐ

การที่หลักทรัพย์และสินทรัพย์จะขึ้นมาโลดแล่นบนโลก Cryptocurrency เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่าจะทำให้ตลาด Cryptocurrency เติบโตอย่างมหาศาลได้ ด้วยการที่มูลค่าตลาด Cryptocurrency มีมูลค่าเพียงแค่ 5 แสนล้านดอลลาร์ แต่ในขณะที่ตลาดหุ้นมีมูลค่าอยู่ที่ 67.5 ล้านล้านดอลลาร์ แค่มูลค่าเพียง 1% ของตลาดหุ้นก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้ตลาด Cryptocurrency เติบโตขึ้นอย่างน้อยเท่าตัว อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าจะไม่ใช่สิ่งที่ง่ายดาย เพราะการที่หลักทรัพย์ถูกกฎหมายควบคุมนั้นจะต้องผ่านกฎเกณฑ์มากมายที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าแนวคิดนี้จะเป็นที่พูดถึงมาตั้งแต่ปี 2018 แล้วก็ตาม แต่ทางหน่วยงานกำกับนั้นได้รับความกดดันพอสมควร เพราะตลาดไม่เคยรอ ปัจจุบันมีโครงการนำร่องออกมาบ้าง โดยให้ Broker ที่ได้ License ถือหุ้นแทนแล้วแปลงหุ้นเป็น Token ที่มีหุ้น Back เช่น การเทรดหุ้นบน FTX ที่เป็นพันธมิตรกับ CM Equity AG ของเยอรมนี และ Digital Asset AG ของสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อโครงการนำร่องเหล่านี้เป็นไปได้ด้วยดี ในไม่ช้าตลาดจะเรียกร้องให้หน่วยงานกำกับนั้นเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์เหล่านี้ในไม่ช้า

STABLE COIN

กระแส BITCOIN ในสังคมโลก

ในตอนนี้ราคา Bitcoin ได้พุ่งขึ้นไปมากกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อ1 Bitcoin ทำให้คนหันมาให้ความสนใจกับบิทคอยน์กันมากขึ้น แต่สาเหตุหลัก ๆ มาจากการที่บิทคอยน์เป็นที่ยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ จากเงินเสมือนจริงในอดีต กลับกลายเป็นเงินดิจิทัลที่ใครหลาย ๆ คนอยากครอบครอง เพราะมันสามารถแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของและบริการที่จับต้องได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น ในประเทศญี่ปุ่น ที่ร้านค้าหลาย ๆ แห่งเริ่มเปิดให้ลูกค้าสามารถชำระค่าสินค้าและบริการเป็นเงินบิทคอยน์ รวมไปถึงการเรียกค่าไถ่ของไวรัส Wanna Cry  ที่แสดงให้เห็นว่ามีคนต้องการใช้เงินบิทคอยน์มากยิ่งขึ้น จะเห็นได้ว่าเมื่อความต้องการบิทคอยน์เยอะขึ้น ขณะที่อุปทานของบิทคอยน์กลับน้อยลง ทำให้ราคาดุลยภาพของ Bitcoin จึงเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับ กระแสตอบรับจากนักลงทุนรายใหญ่ในตลาด อย่าง อีลอน มัสก์ ซีอีโอ Tesla และผู้ก่อตั้ง SpaceX เป็นมหาเศรษฐีรายล่าสุด ที่แสดงความสนใจเข้ามาลงทุนใน coin

ด้าน PayPal ผู้ให้บริการรายใหญ่ E-Payment ของสหรัฐอเมริกา บอกว่าในปี 2564 บริษัทจะพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อออกมารองรับระบบการซื้อขาย Bitcoin เเละสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ มากขึ้น รวมไปถึงจะให้ลูกค้าสามารถใช้สกุลเงินดิจิทัล ในการซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกที่เป็นพันธมิตรกว่า 26 ล้านเเห่งทั่วโลก

กระแส BITCOIN ในสังคมไทย

สำหรับสังคมไทยกระแสของเงินดิจิทัลบิทคอยน์มีกระแสที่เป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมาก จะเห็นได้จากการที่มีผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ Digital Asset Exchange จากตลาดหลักทรัพย์เเห่งประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นบริษัท Bitkub ที่เป็น Digital Asset Exchange รายใหญ่ใหญ่ที่สุดในไทย , บริษัท สตางค์คอร์ปอเรชั่น จำกัด , บริษัท หั่วปี้(ประเทศไทย)จำกัด , บริษัท อีอาร์เอ็ก จำกัด จากบริษัทที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่ากระแสของ Bitcoin ในไทยนั้นเป็นกระแสที่พูดถึงในวงกว้างเป็นอย่างมาก 

กระแส BITCOIN ในอนาคต

ในปัจจุบันกระแสของบิทคอยน์นั้นเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก และมีนักขุดบิทคอยน์ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่เกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ตอนนี้จำนวนบิทคอยน์มีการขุดครบ 18 ล้านเหรียญจาก21ล้านเหรียญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการขุดเจอบิทคอยน์เป็นจำนวนมากนี้ก็จะทำให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อนักขุดบิทคอยน์ เนื่องจากนักขุดบิทคอยน์จะไม่ได้รับรางวัลเป็นบิทคอยน์ แต่จะได้รับเพียงค่าธรรมเนียมจากเจ้าของธุรกรรมเท่านั้นที่จะเป็นรายได้หลักของเหล่านักขุด  ต่อมาผลกระทบต่อคือราคาราคาบิทคอยน์จะมีราคาที่สูงมากขึ้นเนื่องจาก ความจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ เมื่อเทียบจำนวนเหรียญในขณะนั้นกับจำนวนความต้องการการใช้เหรียญ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กล่าวมาก็เป็นเพียงความเป็นไปได้เท่านั้น ซึ่งอาจเกิดขึ้นหรือไม่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร บิทคอยน์อาจจะยังคงขึ้นแท่นราชาของเงินดิจิทัล หรือจะมีเงินดิจิทัลอื่นมาแทนที่ก็สามารถเป็นไปได้